ตำนานภูกระดึง

        เมื่อประมาณปี 2348 มีพรานผู้ชำนาญในการล่าสัตว์มากคนหนึ่ง เดินทางมาจากนครจำปาศักดิ์ เขารอนแรมมาในป่าเป็นเวลาหลายวันจนมาพบแหล่งอาหารอันอุดมสมบูรณ์เหมาะที่จะตั้งเป็นบ้านเรือน จึงเดินทางกลับไปอพยพครอบครัวและชักชวนญาติพี่น้องมาสร้างหลักปักฐานอยู่ที่แห่งนั้น และตั้งชื่อว่า "หมู่บ้านท้ายเมือง" หรือก็คือ "ผานกเค้า" ที่เราชอบไปต่อรถขึ้นภูนั่นแหละ

        อยู่มาวันหนึ่งนายพรานก็ได้ออกตามล่ากระทิงโทนที่ปราดเปรียวเป็นเวลาหลายวัน จนกระทั่งถึงเชิง เขาลูกหนึ่ง รอยเท้าที่ใหญ่และหนักของกระทิงก็เริ่มปรากฏชัดตัดขึ้นสู่ยอดเขาสูง นายพรานก็แกะรอย ตามอย่างไม่ลดละจนขึ้นมาถึงยอดเขา ภาพที่เห็นทำให้เขาถึงกับตะลึง เพราะพื้นที่บนยอดเขานั้น ราบเรียบและกว้างใหญ่ไพศาลเต็มไปด้วยเหล่าสัตว์ป่านานาชนิดทั้งกระทิง เก้ง กวาง และช้างป่า หากินกันอยู่เป็นฝูงๆ สัตว์เหล่านั้นไม่ได้ตกใจหรือตื่นกลัวนายพรานเลย เพราะไม่เคยเห็นคนมาก่อน ส่วนนายพรานเองก็ไม่กล้าที่จะยิงสัตว์เหล่านั้นเพราะแกเชื่อว่า ภูเขายอดตัดที่เห็นนั้นเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ จึงได้กลับลงมาและบอกเล่าเรื่องราวที่ตนได้ไปพบเจอมาได้เพื่อนบ้านฟัง เรื่องราวของภูกระดึง จึงถูกเปิดเผยตั้งแต่นั้นมา

        สมัยที่ภูเขาลูกนี้ยังไม่มีชื่อ ก็มีตำนานเล่ามาว่ามีเสียงระฆังดังมาจาก "หมู่บ้านผีบังบด" ซึ่งเป็น หมู่บ้านของมนุษย์พิสดารจำพวกหนึ่งที่เราไม่สามารถจะเห็นตัวของเขาได้เมื่อเข้าใกล้ หมู่บ้านทั้ง หมู่บ้านก็จะเปลี่ยนสภาพกลายเป็นป่าทันที เสียงระฆังที่ว่านี้จะได้ยินเฉพาะวันพระเท่านั้น จนกล่าวกันว่าเป็นเสียงระฆังของพระอินทร์

        คำว่า "ภู" หมายถึง ภูเขา ส่วนคำว่า "กระดึง" เป็นภาษาพื้นเมืองที่หมายถึงกระดิ่งหรือระฆัง เพราะฉะนั้น "ภูกระดึง" ก็หมายถึง ภูเขาที่มีเสียงระฆังนั่นเอง